เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ทำบุญกุศลนะ เราทำบุญกุศลแล้วฟังธรรม ทำบุญกุศลเรามีเจตนา เพราะเป็นพื้นฐาน เป็นจริยธรรม เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ.. ชาวพุทธ เห็นไหม ตื่นเช้าขึ้นมาให้หุงข้าวใส่บาตร ตักข้าวปากหม้อใส่บาตร แล้วเราก็ทานข้าว
สิ่งที่เราให้ผู้ทรงศีล นี่เป็นวัฒนธรรมประเพณีของเรา แต่พอเวลาฟังธรรม เห็นไหม นี่วัฒนธรรมประเพณีเราทำ ทำจนเป็นความเคยชิน เวลาเราเคยสวดมนต์สวดพรก่อนนอน ถ้าเราไม่สวดมันเหมือนขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปอยู่ ทำบุญกุศลก็เหมือนกัน ถ้าเราทำจนเป็นความเคยชิน คนถ้าไม่เคยทำ พอเวลาทำก็เก้อๆ เขินๆ แต่พอเวลาทำบุญขึ้นไปแล้วเราก็บอกว่า สิ่งที่เราจะทำบุญ เราจะเอาอะไรทำ
ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็กระเสือกกระสนของเราพอสมควร เรากระเสือกกระสนนะ มีมากทำมาก ไม่มีเลยเราอนุโมทนา จิตใจของเราฝักใฝ่ เราฝักใฝ่อยู่กับการทำบุญกุศล เราไม่มีเงินเลย เห็นเขาทำบุญเราอนุโมทนาไปกับเขามันก็ได้บุญแล้วนะ เรารู้จักคัดรู้จักเลือก เรามีเราก็ทำ ไม่มีเราก็ทำด้วยหัวใจไง เห็นเขาทำนั่นน่ะเราอนุโมทนาไปกับเขา เพราะว่าของสิ่งนี้มันมีขึ้นๆ ลงๆ มันไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก คนเรามันก็ลุ่มๆ ดอนๆ
การเกิด เห็นไหม เวลาการเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่การเกิดเป็นมนุษย์นี้เกิดได้แสนยาก แต่ถ้าเป็นมนุษย์แสนยาก ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว ทำไมคนเกิดแล้วเกิดเล่า คนจะล้นโลกอยู่แล้ว ว่ามนุษย์นี้เกิดแสนยากได้อย่างไร นี่สิ่งที่มนุษย์เกิดแสนยากเพราะอะไร เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานในอเวจีนี่ ผลของวัฏฏะ ในอบายภูมิที่เกิดมหาศาลเลย จิตนี้เกิดตลอดเวลา จิตนี้เกิดตลอด จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค
นี้พอมาเกิดเป็นมนุษย์เพราะมีมนุษย์สมบัติ เราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เราทำบุญตามประเพณีวัฒนธรรม แต่เราฟังธรรมขึ้นมานี้มันสะเทือนหัวใจของเรานะ ถ้ามันสะเทือนหัวใจของเรา ทางการแพทย์เวลาเขาให้ยา เขาจะบอกว่ามีปฏิกิริยาการรักษาไหม ถ้ามีปฏิกิริยาการรักษานะคนนั้นจะมีโอกาส
นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำบุญกุศล เห็นไหม เวลาฟังธรรมขึ้นมา มันแทงเข้าไปในหัวใจไหม มันทำให้เรามีความคิด ความคิดของเรานี้ได้เปลี่ยนแปลงไหม ความคิดความเห็นของเรา.. ความคิด นี่การฟังธรรมสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกวันนี่ตอกย้ำ ! ตอกย้ำ ! ตอกย้ำ เห็นไหม แก้ความลังเลสงสัย แก้ความเห็นผิด ถ้าหัวใจมันผ่องแผ้ว นี้คือการฟังธรรม
นี้เราทำบุญกุศลของเรา เราทำด้วยประเพณีวัฒนธรรม แต่เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา หัวใจนี่มันดีดดิ้น เห็นไหม มันบอกว่าเราทำแล้ว เราทำสิ่งนี้แล้วไม่เห็นมันได้ประโยชน์สิ่งใดเลย ถ้าเราทำอยู่มันไม่ได้สิ่งใดเลย แล้วถ้าไม่ทำมันจะมีประโยชน์สิ่งนั้นไหม
ฉะนั้นเวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์สมบัตินี่มันเป็นอริยทรัพย์ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติปิตุขา.. ความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะการเกิดแล้วมันมีการเกิด มีสถานะ มีการรองรับ ทุกอย่างมันรู้รับรู้ผิดชอบไปหมด
เวลาเกิดเป็นมนุษย์.. มนุษย์สมบัตินี่มีค่ามากเลย มีค่ามากเป็นผลของวัฏฏะไง เพราะถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์มันไปเกิดเป็นสิ่งใด มันต้องเกิดไปตามวัฏฏะ มันหมุนไปตามบุญตามกรรมนั่นแหละ แต่เกิดเป็นมนุษย์นี้มีคุณค่ามาก เป็นอริยทรัพย์ แต่ทำไมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่งล่ะ
การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะการเกิดมาแล้วมันมีสถานะมันเป็นความจริง.. ความจริง เห็นไหม สัจธรรมเป็นความจริง ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง มันมีของมันตามความเป็นจริง เวลาวิทยาศาสตร์บอกว่าชาวพุทธนี้เป็นทุกข์นิยมๆ
ไม่ใช่ ! สัจจะนิยม มันเป็นความจริง สัจจะ.. อริยสัจจะ
ถ้าเราไม่เกิดมาเผชิญกับชาติปิตุขา ไม่เผชิญกับชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เรารู้จักทุกข์ไหม เรารู้จักเหตุจักผลไหม เพราะเรารู้จักทุกข์ เรารู้จักเหตุจักผล เราถึงมีการกระทำ เราถึงมีสิ่งที่ มันมีทุกข์ได้ มันก็พ้นจากทุกข์ได้ไง ดูนะเวลาเราเกิดมา ถ้าคนเกิดมาร่างกายครบอาการ ๓๒ นี่มีบุญแล้ว มีบุญมากกว่าความปกติ เห็นไหม เรามีร่างกายเป็นมนุษย์ เรามีพละกำลัง เรามีวิชาชีพเรามีต่างๆ เราทำสิ่งใดได้หมดเลย แต่ถ้าคนเกิดมาไม่สมประกอบล่ะ เขาก็ต้องทนทุกข์ของเขา เขาต้องแก้ไขของเขา
ธรรมะ.. จิตของเรานี้มันพร่องอยู่เป็นนิจ ! จิตของเราพร่องอยู่เป็นนิจ เวลาเกิดมานี่เพราะมันพร่องมันถึงได้เกิด มันถึงได้เวียนไป มันไม่สมประกอบของมัน ถ้ามันสมประกอบของมัน เห็นไหม เราตั้งกำหนดพุทโธ พุทโธเพราะอะไร เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีคำบริกรรมของเรา เรามีจุดยืนของเรา เราจะทำจิตใจของเรานี้ให้มันครบกระบวนการ ๓๒ ให้มันมีสติปัญญาของมัน ให้มีความสงบระงับของมัน
จิตบกพร่อง ร่างกายบกพร่องนี้มันก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง แต่ร่างกายไม่บกพร่อง เห็นไหม ร่างกายเราไม่บกพร่อง ร่างกายเราสมบูรณ์นี่เกิดมาโดยอริยทรัพย์ เกิดมาโดยสัจจะความจริง.. นี่ผลของมันมี ถ้าผลของมันมี ผลของวัฏฏะนี่มันต้องมีที่มาที่ไป
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำคุณงามความดี เราทำบุญกุศลอยู่นี้ เราเสียสละอยู่นี้ มันดัดแปลงที่โปรแกรมเลยนะ มันดัดแปลงที่ความคิดของเรา เห็นไหม เราเสียสละไปนี่มันเป็นอามิส สิ่งต่างๆ มันส่งเสริมขึ้นมา
ทาน ศีล ภาวนา ทานคือระดับของทาน ระดับของสิ่งที่เราฝึกฝนของเราโดยพื้นฐาน ถ้ามันมีศีลมันเป็นความปกติของใจ เห็นไหม มีศีลเป็นความปกติของใจ ใจมันก็ไม่แส่ส่าย.. กายกรรมทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำนี่ทุกข์ยาก มโนกรรมทำงานด้วยหัวใจไง ทำงานด้วยบริหาร ทำงานด้วยนโยบาย ทำงานด้วยความรับผิดชอบ ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย คนอาบเหงื่อต่างน้ำเขาเสร็จแล้วเขานอนสบายใจของเขานะ งานเขาเสร็จแล้ว ไอ้บริหารนะกลับไปแล้วไปนั่งก่ายหน้าผากอยู่ นี่มันไม่จบ
งานของกาย แต่กายกับใจมันเกี่ยวเนื่องกัน คำว่าเกี่ยวเนื่องกัน คนมีจิตแล้วมันถึงจะเคลื่อนไหวได้ ทำงานได้ จิตออกจากร่างก็คือคนตาย ฉะนั้นเวลาทำงานทางบริหาร ทำงานโดยนโยบายทำได้อย่างไรล่ะ.. นี่ทำงานโดยบริหาร เวลาพระเรา เวลานักปฏิบัติเรา เห็นไหม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา นี่มันเอาอะไรเดินล่ะ ก็เอาร่างกายนี้เดิน แต่เอาร่างกายนี้เดินถ้าหัวใจมันไม่เอามันจะเดินไหม ถ้าหัวใจมันไม่เอา
ถ้าหัวใจมันเอานะ.. หัวใจมันเอา เวลาเดินจงกรม เราเดินนี่เราทุกข์เรายากของเรา แต่ถ้าจิตมันทำงานเป็นมันมีความสุขมันมีความรื่นเริงนะ มันจะเข้าแต่ทางจงกรม มันเข้าทางจงกรม มันเพลินกับในทางจงกรมเพราะมันมีงานทำ
คนเราเวลามีงานทำ ทำงานโดยความเพลิดเพลินนี่เป็นอย่างหนึ่ง.. คนงานเวลาบังคับให้ทำงานนี่เป็นอย่างหนึ่ง จิตใจเราไม่เป็น มันบังคับให้ทำนี่มันบังคับ แต่ก็ต้องบังคับไป ถ้าไม่บังคับมันจะเป็นไหม แต่พอมันบังคับๆๆ จนมันเห็นผลไง เห็นไหม ดูสิอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นพระโสดาบันนะ มีเงินทองมหาศาลเลย แต่ลูกชายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ลูกชายนี่ต่อต้านพ่อมาตลอดเลย เวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขามีปัญญาของเขา เขาจ้างลูกให้ไปวัด ถ้าไปวัดเสร็จแล้วกลับมาให้เอาตังค์
จ้างไปวัดเสร็จแล้วกลับมาให้เอาตังค์ ทีนี้ก็เพิ่มขึ้นไป เห็นไหม นี่เราภาวนาเป็นและภาวนาไม่เป็น พอเพิ่มขึ้นไปนะ คราวนี้ไปวัดแล้วนะ เขาไปวัดแล้วเขาไปแอบนอน นอนเสร็จแล้วเขากลับ กลับแล้วมาเอาตังค์ สุดท้ายอนาถบิณฑิกเศรษฐีเพิ่มข้อต่อรอง ไปวัดคราวนี้ให้ฟังว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเรื่องอะไรบ้าง แล้วกลับมาให้ตังค์เป็นสองเท่า
พอฟังธรรมไง พอไปฟังพระพุทธเจ้าพูดอะไร.. คำพูด เห็นไหม ธรรมนั้นมันแทงเข้าไปในหัวใจ พอแทงเข้าหัวใจนะ พอใจมันเปลี่ยนแปลง ใจมันมีการแก้ไข ได้บรรลุธรรมเลยนะ พอบรรลุธรรมกลับไปนะ นี่พ่อรอจ่ายตังค์ รอจ่ายตังค์.. วันนี้ลูกชายไม่เข้ามาเอาตังค์.. ไม่เข้ามาเอาตังค์ อายมาก พ่อก็ถาม นี่มาเอาตังค์สิ มาเอาตังค์ เพราะธรรมดาเขาต่อต้านอยู่แล้ว เขาต้องเอาอยู่แล้ว เขาบอกว่าไม่กล้าเอา เพราะพอจิตใจมันเปลี่ยนแปลงนะอายมาก
พ่อเลี้ยงพ่อให้ชีวิตมา พ่อเลี้ยงมา พ่อให้การศึกษามา พ่อดูแลมาทั้งหมดเลย ยังโง่มาก ! ยังโง่กับตัวเอง เห็นไหม จนพ่อให้ไปวัด ก็กลับมาเอาตังค์เพราะเห็นแต่ธาตุ เห็นแต่วัตถุ แต่พอใจมันบรรลุธรรมนะ มันซึ้งบุญซึ้งคุณนะ ไม่กล้าเอา อายมาก.. อายมากๆ เห็นไหม เวลาใจมันเปลี่ยนแปลง พอมันเปลี่ยนแปลงแล้วมันจะย้อนกลับไปไง เวลาจิตใจเราต่อต้าน จิตใจเรามันไม่เอาไหนมันมีความคิดอย่างไร แต่พอจิตใจเราพัฒนาขึ้นมาแล้วนี่เรามีความคิดอย่างไร
เราเห็นเลยว่าก่อนหน้านั้น ตอนที่ยังต่อต้านอยู่ พ่อว่าสิ่งใดก็ไม่เชื่อ ต้องมีการโต้แย้ง มีการโต้เถียง มีการขัดแย้งไปตลอด แต่เวลาบรรลุธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เนี่ยมันเหมือนกัน เพราะอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เป็นพระโสดาบัน แล้วเวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐีนี่ลูกชายก็เป็นพระโสดาบัน พอลูกชายเป็นพระโสดาบัน ความเห็นมันจะแตกต่างกันไหม.. นี่ความละอายอันนั้น เพราะพ่อก็ทำเพื่อลูกนี่แหละ พ่อก็ทำเพื่อให้ลูกมีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจนั่นแหละ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา เวลามันต่อต้าน เวลามันขัดแย้ง มันก็เป็นเหมือนลูกชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั่นล่ะ แต่ถ้ามันทำขึ้นไปนี่มันเป็นงานเป็นการ.. งานธรรมนะ ภาวนาเป็นมันมีงานทำ คนภาวนานะ ถ้าภาวนาถ้ามีงาน มันเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน ๗ วัน ๗ คืน ๗ ปีนี่มันทำได้ตลอดเลย เพราะภาษาทางโลกว่ามันอยากได้ผลงาน อยากได้ผลประโยชน์มาก มันอยากทำ จะเอาๆ อย่างเดียว แต่จะเอาอย่างเดียวมันก็ต้องมัชฌิมาปฏิปทา ความถูกต้อง.. ถ้าไม่ถูกต้องมันก็ไม่ได้ผล
แต่ไม่ได้ผล.. การฝึก เห็นไหม การฝึกในทางที่ถูกในทางที่ผิด มันเป็นตัวอย่าง มันเป็นครูเราทั้งนั้นแหละ ถูกก็มีความร่มเย็นเป็นสุข ผิด.. ผิดก็มีความเร่าร้อน มีความขัดแย้ง แล้วใจมันเป็นอย่างไรล่ะ แล้วถูกแล้วผิด นี่จิตใจเราภาวนาแล้วเอาสิ่งนี้มาเป็นคติ มาเป็นแบบอย่าง เอามาเป็นประเด็น เอามาเป็นตัวตั้ง แล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญ ใคร่ครวญให้เห็นว่าถูกควรทำอย่างไร ผิดควรทำอย่างไร แล้วหาความสมดุลของเรา
นี่มัชฌิมาปฏิปทา.. ความสมดุลของจิต มันทำได้สิ ทำไมเราเกิดได้ล่ะ ทำไมเรามีความรู้สึกล่ะ แล้วเวลามันจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงไปทำไมทำไม่ได้ล่ะ นี้กิเลสมันก็บอกว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้ตลอดไป เห็นไหม
นี่ฟังธรรมมันสะเทือนหัวใจอย่างนี้ ความพิการของร่างกายมันก็เป็นความทุกข์ของทางโลก ความพิการของจิต แล้วจิตเราพิการอยู่ทุกๆ คน มันพร่องอยู่เป็นนิจมันไม่สมบูรณ์หรอก ถ้ามันสมบูรณ์เราจะรับรู้ได้ ถ้าเราสมบูรณ์นะเราจะไม่สงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เราจะไม่สงสัยเรื่องนรก สวรรค์ อเวจี จะไม่สงสัยสิ่งใดๆ เลย เพราะจิตนี้มันเคยเกิดเคยตายเคยเป็นมาทั้งนั้น
เวลาคนเคยเกิดเคยตาย.. มือเราเคยสกปรก ถ้ามันทำให้สะอาด มือมันต้องสะอาดจากความสกปรกนั้นใช่ไหม จิตใจที่มันเคยเกิดเคยตาย เคยข้องเคยแวะ เคยรับเคยรู้มา เวลาธรรมมันเข้าไปชำระล้าง มันสะอาดบริสุทธิ์หมดล่ะ มันรู้มันเห็นหมด มันจะสงสัยสิ่งใด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว นี่สอนคนตาบอด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตาสว่างนะ รู้แจ้งไปทั้งหมดโลกนอกโลกใน แล้วเอามาสั่งสอนเรา เอามาบอกเราว่าทำดีอย่างนี้ ผลของมันจะเป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้นผลของมันจะเป็นอย่างนั้น เห็นไหม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราก็โต้แย้ง เราก็คัดค้าน แต่ถ้าจิตเราเป็นอย่างนั้นแล้วนะ มันจะเห็นอันเดียวกัน จะไม่มีโต้แย้งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเด็ดขาด ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ขัดแย้ง ไม่โต้แย้งกัน ในพระไตรปิฎกก็ไม่ขัดแย้งไม่โต้แย้งกัน
ไม่ขัดแย้งไม่โต้แย้งหมายถึงว่า ทาน ศีล ภาวนา.. นี่มรรคอย่างกลาง มรรคอย่างหยาบ มันจะส่งเสริม มันจะต่อเนื่องกันไป คนภาวนาจะรู้เลย มรรคหยาบๆ มันเป็นอย่างไร.. ความคิดความเห็นของสังคม ความเห็นความคิดของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ความเห็นความคิดของโสดาบัน ความเห็นความคิดของสกิทาคา ความเห็นความคิดของพระอนาคา ความเห็นความคิดของพระอรหันต์ แตกต่างกันหมด !
แตกต่างกันเพราะวุฒิภาวะ ความเป็นใจ จิตมันสูงต่ำอย่างไรมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปนี่จะรู้จะเห็น จะเหมือนกันหมด ถ้า ! ถ้ามันปฏิบัติได้วุฒิภาวะเท่ากัน แต่ถ้ามันยังไม่เห็นได้เหมือนกัน มันต้องมีความลังเลสงสัย เหมือนกับอนาถบิณฑิกเศรษฐีกับลูกชาย เถียงกันมาตลอด แต่เวลาถึงที่สุดแล้ว เห็นไหม ทำไมละอายใจ.. ละอายใจ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติไปแล้วเราจะละอายใจเรา เมื่อก่อนมีความคิดอย่างนี้ เมื่อก่อนมีความเห็นอย่างนี้ เวลาปฏิบัติไปแล้ว มันแตกต่างกับความรู้ความเห็นของเราหมดเลย.. มันแตกต่างกับความทิฐิมานะที่เป็นในหัวใจเราหมดเลย ! แล้วมันหมดเพราะอะไร หมดเพราะมัชฌิมาปฏิปทา หมดเพราะมรรคญาณ หมดเพราะสัจจะความจริง หมดเพราะมรรคมันเคลื่อนในหัวใจไง ถ้าปัญญามันเกิด มรรคมันเกิด มันทำลายของมันขึ้นมา
นี่สัจธรรม ! ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พุทธศาสนา
เราเป็นชาวพุทธ.. เราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม โลกเขาเป็นชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน พุทธไว้เพื่อว่าให้มันครบในทะเบียนบ้านว่าเราถือศาสนาใด เราเป็นชาวพุทธ เรามีการกระทำ นี่แล้วยิ่งหลวงปู่ฝั้นท่านพูดไว้ตลอดนะ บอกภาวนาไม่เป็น.. ภาวนาไม่เป็นนี่ ท่านบอกว่าเกิดมาหายใจทิ้งเปล่าๆ ลมหายใจปล่อยมันทิ้งไปเปล่าๆ ถ้ามีสติกำหนดลม นั่นล่ะภาวนาเป็นแล้ว แล้วลมหายใจนี่มันคู่กับชีวิต เพราะมีลมหายใจมีออกซิเจนเราถึงมีชีวิต แล้วจะบอกว่านี่ภาวนาก็ไม่ได้ ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ แล้วหายใจทิ้งไปเปล่าๆ
ทั้งๆ ที่มีชีวิตนี่ มีชีวิตต้องมีลมหายใจ กำหนดอานาปานสติก็ลมหายใจ แล้วลมหายใจ นี่หายใจเข้าออกทุกวันก็ทิ้งไป ทิ้งไปกับโลก ทิ้งไปเพราะเราดำรงชีวิตเท่านั้น แต่ถ้ามีสติจับมันปั๊บนี่เป็นประโยชน์ขึ้นมาทันทีเลย มีสติจับลมหายใจเรานี่ล่ะ เพราะลมหายใจนี้มันให้ชีวิตเราอยู่แล้ว แล้วก็มีสติจับมันเป็นธรรมอีก เป็นธรรมเข้ามา เห็นไหม
โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน แต่คนโง่เขาก็ไม่รู้สิ่งใดเลย แต่คนฉลาดขึ้นมา นี่กำหนดลม กำหนดคำบริกรรม กำหนดต่างๆ ชีวิตมีคุณค่าขึ้นมาเลย.. ชีวิตมีคุณค่าขึ้นมานะ
ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด
ถ้ามีสติจับลมได้ มีคำบริกรรมได้มันไม่มีความประมาท ถ้ามีความประมาทจับไม่ได้ ถ้ามีความประมาทมันก็โยนชีวิตทิ้งไปแล้ว แต่ถ้ามันมีสติจับลมไว้ได้ ชีวิตนี้เป็นของเราแล้ว เราเอาชีวิตกลับมาเป็นของเรา.. นี่มันมีคุณค่าที่นี่ พุทธศาสนาสอนที่นี่
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ.. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ทำบุญกุศลก็เป็นประโยชน์กับเป็นอามิส เป็นเสบียง เป็นสิ่งที่ให้เกิดฐาน เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการคิด แล้วถ้าเกิดภาวนาขึ้นมา มันจะเป็นการสร้างสมปัญญา พุทโธ พุทโธนี่จะเกิดให้มีปัญญา เขาบอกพุทโธนี่ไม่มีปัญญา แต่คนมีพุทโธนี่มีปัญญา เพราะเวลาพุทโธจิตสงบแล้ว..
คนเรามันเปิดหูเปิดตานี่มันจะเห็น มันจะรู้แจ้งของมัน ถ้าจิตสงบแล้วมันจะกลับมารู้สภาวะความนึกคิด กลับมารู้สภาวะเวรกรรมของเรา กลับมารู้สภาวะความหลงของเรา นี่แล้วปัญญามันเกิด แล้วจะรู้ว่าพุทโธมันมีความมหัศจรรย์อย่างใด เอวัง